head prakardsod






























































ผู้เขียน หัวข้อ: motor expo: RIDDARA RD6 4WD 86 kWh วิ่งได้ 455 กม. สุราษฎร์ธานี - พัทลุงกว่า 600  (อ่าน 2 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 500
    • ดูรายละเอียด
motor expo: RIDDARA RD6 4WD 86 kWh วิ่งได้ 455 กม. สุราษฎร์ธานี - พัทลุงกว่า 600
« เมื่อ: วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2025, 13:48:33 น. »
motor expo: RIDDARA RD6 4WD 86 kWh วิ่งได้ 455 กม. สุราษฎร์ธานี - พัทลุงกว่า 600 กม. สบาย!

แฟน ๆ รถยนต์ไฟฟ้าหลายคนอาจจะกำลังทองหารถยนต์กระบะไฟฟ้าล้วน ที่สามารถเป็นได้ทั้งรถยนต์ใช้ขับไปทำงานในเมือง เป็นรถสำหรับขนของ รถสำหรับเดินทางท่องเที่ยว หรืออาจจะเอาไว้ลุยออฟโร้ดแบบย่อม ๆ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เพิ่มความสะดวกสบาย รถคันนี้อาจจะเป็นรถที่คุณรอคอย!
 

RIDDARA RD6 4WD 86 kWh ด้วยสมรรถนะเทียบเท่ากับรถยนต์กระบะ มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด หน้า-หลังกำลังสูงสุด 428 แรงม้า แรงบิด 595 นิวตันเมตร  ทำให้จะขับขึ้นเขาลงห้วยก็ไม่ต้องกลัว ลุยน้ำได้ลึกถึง 815 มม. และวามสามารถในการขึ้นทางชัน 95% พร้อมไปได้แบบไม่อายใคร สะดวกทุกสภาพถนนด้วยกล้องรอบทิศทาง 540 องศา และสามารถควบคุมรถทางไกลได้ผ่านแอพพลิเคชัน RIDDARA App

 
แถมด้วยระบบจ่ายไฟได้แม้ตอนขับขี่ที่สามารถเสียบปลั๊กได้เลยที่กระบะท้ายไม่ต้องใช้ชุดปลั๊กพ่วงจากหัวชาร์จ! จะนั่งทำงาน หรือปาร์ตี้ ให้การนั่งกระบะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ด้วยความกว้างขวางของห้องโดยสารระดับ SUV ที่ปรับเบาะเอนเพื่อนอนพักได้แบบชิว ๆ
 
นอกจากนี้ยังมาพร้อมสมรรถนะที่ไม่แพ้รถกระบะสันดาป กับอัตราเร่งจัดจ้าน 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 4.5 วินาที (รุ่น 4WD 86kWh) อัตราการชาร์จไฟ 30-80% ภายใน 30 นาที พลังแรงที่สามารถลากจูงได้สูงสุด 3 ตัน และมีรัศมีวงเลี้ยวแคบเพียง 6.1 เมตร ขนาดแบตเตอรี่ 86 kWh ระยะทางเคลมไว้ที่ 455 กม. (NEDC) แต่ถ้าเป็นรุ่น 73.9 kWh จะวิ่งได้ 424 กม. (NEDC)
 
และยังมีรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง (ล้อขนาด 17 นิ้วไม่มีฝาครอบ/ไม่มีราวหลังคา) มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 200 กิโลวัตต์ หรือ 272 แรงม้า แรงบิด 385 นัวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ 7.3 วินาที ระยะทางที่วิ่งได้ไกลสุด (NEDC) ขึ้นกับความจุแบตเตอรี่ 63 kWh วิ่งได้ 373 กม. ใช้ล้อขนาด 17 นิ้ว ยาง 235/65 ส่วนความจุแบตเตอรี่ 73 kWh 461 กม. ใช้ล้อขนาด 18 นิ้ว ยาง 235/60 ทำความเร็วสูงสุดได้ 185 กม./ชม. เท่ากัน
 
โหมดการขับขี่ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อมี 3 โหมด คือ Eco,Comfort และ Sport ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มี 7 โหมด คือ Sand, Mud, Off-road, Wading, Economy, Comfort และ Sport ด้านภายในห้องโดยสารทุกรุ่นเว้นรุ่นเริ่มต้นจะโดดเด่นด้วยหน้าจอสัมผัสขนาดที่ใหญ่กว่าที่ 14.6 นิ้ว สำหรับรุ่นเริ่มต้น RD6-2WD 63 kWh จะเป็นรุ่นที่มีเน้นเรื่องสเปคการขับเคลื่อนอย่างเดียว ตัดออปชั่น สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบช่วยเหลืออีกเพียบ
 
 
นี่คือ SUV มีกระบะท้าย!

ด้วยความที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ภายนอกภายในจึงถูกออกแบบให้ทันสมัยและดูเหมือนรถยนต์นั่งทั่วไป นั่นคือ ภายนอกดูสำอาง เรียบร้อย คล้ายรถเก๋งที่มีกระบะท้าย ยกสูง ซึ่งถ้าใครเป็นสายกระบะบึกบึนดุดัน อาจจะไม่ค่อยเข้าตานัก แต่ถ้าคนชื่นชอบหรือต้องการรถยนต์กระบะไฟฟ้าที่จะช่วยลดภาระค่าเดินทางได้ อาจจะมองข้ามรูปลักษณ์นี่ไป
 
ในรุ่นท็อปขับเคลื่อน 4 ล้อ คันนี้กระจังหน้าจะมีตัวอักษร "RIDDARA" เต็มแผง พร้อมไฟเรืองแสงที่มีระบบลูก "Welcome Light" เมื่อ "เปิด-ปิดล็อครถ" และจะดับลงเมื่อความเร็วเกิน 15-20 กม./ชม. (โดยประมาณ) เพื่อกันแยงตาชาวบ้าน ติดตั้งแร็คบนหลังคา เฉพาะ 4WD และล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว พร้อมฝาครอบลายอวกาศ(เกินไป) บ้างก็ชอบบ้างก็ขอแลกกับล้อรุ่นล่าง ๆ ยางติดรถแบรนด์จีน แต่อย่าไปซีเรียส เพราะสามารถไปเปลี่ยนแบรนด์ตามชอบได้
 

กระบะท้ายฝั่งไฟท้าย Full LED แบบ Buiult-in พร้อมเส้นแนวยาวเชื่อมถึงกัน ดูไกล ๆ คล้าย PPV พี่ใหญ่มะกัน สวยไปอีกแบบ ส่วนตัวชอบมาก ๆ เมื่อเปิดมาฝั่งขวามือจะมีจุดจ่ายไฟสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือ VtoL ที่เสียบเต้ารับได้ทันที่! ไม่ต้องมาต่อสายจากที่ชาร์จให้วุ่นวาย บนกระบะท้ายตกแต่งด้วยสปอร์ตบาร์และ "แค็ปหลัง" หรือสปอยเลอร์ ที่ดูกลมกลืนกับรถ และในรุ่นท็อปมีบันได้ซ่อนอยู่ในฝากระบะท้ายอีกด้วย
   
ภายในได้ฟิวแบบรถเก๋งหรือ SUV ไฟฟ้าที่ต่างจากภายในรถกระบะโดยสิ้นเชิง ด้วยจอคนขับ 10.2 นิ้ว แสดงผลการขับขี่ครบถ้วนและชัดเจนดี พร้อมจอกลางขนาด 14.6 นิ้ว รองรับ AppleCarPlay และ Android Auto (อับเดทระบบก่อนส่งมองรถให้ลูกค้า) พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมสวิตช์ควบคุมการใช้งานต่าง ๆ ที่สะดวกไม่ต้องเข้าเมนูหน้าจอ และยังมี สวิตช์สั่งการทำงานต่าง ๆ ที่ใต้จอกลาง ให้ใช้งานได้ทันทีเช่นกัน
 

มาที่จอกลางแบบสัมผัสที่มีฟังก์ชั่นการทำงานทั้งควบคุมสั่งการระบบรถยนต์ ความบันเทิงมากับลำโพง 8 ตำแหน่ง ระบบการเชื่อมต่อ Wi-Fi  ระบบ Carbit link  และแสดงภาพจากกล้องรอบคัน ที่ใช้งานค่อยข้างง่าย เมนูไม่ลึกมาก อย่างการจะดูรายละเอียดของระบบความปลอดภัย, การใช้พลังงานไฟฟ้ารถยนต์, การเปิดปิดระบบต่าง ๆ เพียงแค่กดรูปรถที่เมนูด้างล่างของจอ หรือจะใช้นิ้วรูดปัดขอบจอบนลงมาก็จะมีเมนูทางลัด ที่ตั้งค่าเองได้ด้วย เช่น กดดูกล้องรอบคันก็, เปิด-ปิดระบบเตือนต่าง ๆ ฌหมดกลางคืน หรี่แสงหน้าจอ ฯลฯ
 
เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า ปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมระบบระบายอากาศทั้งเบาะหน้า และเบาะหลัง เบาะหลังพับได้ 60:40 กระจกหน้าต่างไฟฟ้า 4 บานแบบ One-touch พร้อมระบบป้องกันการ หนีบ Anti-Pinch กระจกมองหลังตัดแสง และยังมีฟังก์ชั่น เปิดกล้องมองหลังแทนสายตาที่จะแสดงภาพบนจอกลางอีกด้วย เพื่อบรรทุกสิ่งของแล้วมองด้านหลังไม่เห็น สามารถใช้กล้องมองแทนได้

ความสะดวกสบายการขึ้นลงรถบันไดข้าง, บันไดท้ายกระบะ, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ระบบกรองอากาศ CN95 Filter ระบบกรองอากาศ PM 2.5   
พร้อมช่องแอร์ด้านหลัง, แท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย 50W ช่อง USB-A และที่วางแก้วน้ำ ที่เท้าแขนมือจับ 3 ตำแหน่ง โดยรวมแล้วการออกแบบทั้งคัน เหมือนรถเก๋งมากกว่ากระบะ ดูทันสมัยแบบรถยนต์ SUV ไฟฟ้า ถึงกล้าบอกว่านี่คือรถ SUV ไฟฟ้าที่มีท้ายเป็นกระบะนี่เองครับ
 
ระบบความปลอดภัย ADAS มาแบบครบเทียบเท่ารถยนต์ไฟฟ้าพรีเมี่ยมทั่วไปเลยและการทำงานค่อนข้างไวและขยันมาก ๆ โดยเฉพาะการเตือนชนด้านหน้า เตือนออกนอกเลนหรือจะเป็นเตือนมุมอับสายตา แต่ว่าระบบตรวจจับเส้นถนนหรือเตือนและควบคุมรถให้อยู่ในเลนนั้นจะต้องมีเส้นถนนที่ชัดเจน (ซึ่งก็เหมือนกับรถรุ่นอื่น ๆ ที่มีระบบนี้นั่นเอง) ถึงจะสามารถตรวจจับได้แม่นยำ ระบบความปลอดภัยมีดังนี้
ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (ICC)   
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC)   
ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ (AEB)   
ระบบเตือนการชนด้านหน้า (FCW)   
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKA)   
ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถฉุกเฉิน (ELKA)   
ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)   
ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA)   
ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (BSD)   
ระบบเตือนก่อนเปิดประตู (DOW)
ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA)
ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB)
ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนด้านหลัง (RCW)   
ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (FDA)
กล้องมองภาพรอบคัน 540° พร้อมระบบแสดงภาพใต้ท้องรถแบบออฟโร้ด
ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB   
ระบบ Auto Hold   
ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC)   
ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน (EBA)   
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TCS)   
ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HHC)   
ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC)   
ระบบตรวจสอบความดันลมยาง (TPMS)
ถุงลมนิรภัย 6 จุด   
และในรุ่น 4WD นี่จะลุยน้ำลึกได้ 815 มม. เลย เพราะเพิ่มการป้องกันน้ำเข้าระบบสำคัญต่าง ๆ อย่างดี แต่รุ่น 2WD อย่าน้อยใจนะครับ ยังสามารถลุยได้มากถึง 500 มม.
 
 
สมรรถนะ - แรงเกินกระบะ นุ่มนวลแบบ SUV

RIDDARA RD6 4WD 86 kWh เด่นเรื่องของพลังมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลังที่แรงจัดระดับ 428 แรงม้า กับ 595 นิวตันเมตร ที่แรงบิดเยอะกว่ารถกระบะเครื่องยนต์ดีเซลไม่เกิน 4 สูบ ในไทยตอนนี้ ส่วนแรงม้านั้นเยอะกว่าแน่นอน และระบบช่วงล่างที่นุ่มนวลจากด้านหน้าแม็คเฟอร์สันสตรัท (MacPherson Strut) ด้านหลังอิสระแบบมัลติลิงก์ (Multi-link) แต่เซตให้รองรับน้ำหนักบรรทุกได้แบบ "สร้างตัว" ที่ 1,030 กก. และลากจูงรถหนักได้ 3,000 กก. !

จากการทดลองขับขี่ระยะทางกว่า 600 กม. บนเส้นทางภาคใต้ "สุราษฎร์ธานี - พัทลุง" ผ่านจุดแวะสำคัญมากมาย เช่น ขนอม, ทะเลน้อย ขับขี่ผ่านทั้งตัวเมือง ชานเมือง เรียกว่าเกือบครบทุกรูปแบบ ขาดแค่รถติดหนัก ๆ แบบในกทม. เท่านั้น ซึ่งโดยรวมทั้งหมดชาร์จไฟแค่ 1 ครั้งถ้วน!
 
โดยขับจากจุดเริ่มต้นออกตัวกันที่ ร้านอาหาร "ตาปีซีฟู้ด" ผ่าน "โลมาคาเฟ่" แถวอ่าวท้องยาง อำเภอ ขนอม และมุ่งหน้าจุดพักรถและชมวิวสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา พัทลุง และเข้าสู่ที่พัก "ศรีปากประ บูทิก รีสอร์ต" จากแบตฯ 100% ระยะทางขึ้น 455 กม. (NEDC) ถึงจุดหมายคงเหลือที่ 20% (ลืมถ่ายรูปมา) ระยะทางเหลือ 70 กม. รอด!!!!
หลังจากนั้นทีมงาน RIDDARA นำรถไปชาร์จได้คันที่ทดสอบนั้นไฟกลับมาประมาณ 90% กว่า ๆ ระยะทาง 357 กม. วันรุ่งขึ้นเดินทางต่อจนถึงหาดใหญ่รวมกว่า 600 กม.   
 

สมรรถนะความแรงและอัตราเร่งตอบสนองดี ทันใจมาไว้แรงและเร็วตรงปก 428 แรงม้า ทัเงออกตัวทั้งแซง จะขึ้นลงเขา สบาย ๆ และมีระบบช่วยหน่วง 3 ระดับ โดยระดับที่ 3 นั้น หน่วงจนแทบจะเบรกแบบหัวทิ่ม เหมาะในการใช้ขับช่วงลงทางชันมาก ๆ ส่วนความสามารถในการปั่นไฟกลับแล้วแต่ระยะทางลงเนินนั้น ๆ ยิ่งลงยาว ๆ ยิ่งปั่นไฟกลับมาได้มาก
 

ท่านั่งขับจะรู้สึกว่าตัวจะเอนไปด้านหน้า องศาพวงมาลัยจะเอียงขึ้นมากกว่ารถทั่วไปเล็กน้อย ทำให้ช่วงแรกที่ขับจะรู้สึกแปลกๆ หน่อย แต่สักพักก็จะชิน พวงมาลัยจับกระชับมือ น้ำหนักเบาเพราะเป็น ไฟฟ้า EPS ตัวเบาะผิวสัมผัสนุ่มสบายดี วิสัยทัศน์โปร่งสบายไม่แคบหรืออึดอัด กระจกมองข้างขนาดใหญ่มองง่ายชัดเจน ระบบเกียร์แบบไฟฟ้าที่จะต้องขยับขึ้นหรือลงตามตำแหน่งเกียร์ได้ทีละ 1  ตำแหน่ง คงป้องกันการเผลอเข้าผิดเกียร์
 
มาตรวัดคนขับมองง่ายชัดเจน แสดงสถานะการใช้งานระบบความปลอดภัยต่าง ๆ ครบถ้วน จอกลางขนาดใหญ่และใช้งานง่าย ๆ และมีสวิตช์ใช้งานระบบที่จำเป็น ๆ อยู่ใต้จอกลาง และแผงคอนโซลกลางก็มีทั้งสวิตช์ปรับโหมดขับขี่ที่มีให้เลือก 7 โหมด (Sand / Mud / Off-road / Wading / Economy / Comfort / Sport) และสวิตช์เลือกการ ReGenerate สวิตช์เปิด-ปิด Auto hold และ เบรกมือไฟฟ้า ที่ส่วนเข่าขวาฝั่งคนขับยังมีสวิตช์ เปิดไฟกระบะท้าย, ปรับแสงสว่างหน้าจอ, ปรับระดับไฟหน้า และเปิดฝากระบะท้ายแบบไฟฟ้า 

ช่วงล่างอิสระให้การขับขี่ที่นุ่มนวลแบบรถ SUV ขับสบายไม่กระเด้งและการปรับให้โช้คมีความแข็งในแบบกระบะ ทำให้ได้เรื่องความแน่นหนึบตามมา (รถเปล่าไม่บรรทุก) การเข้าโค้ง มั่นใจ ขับขความเร็วสูง ๆ ก็ยังควบคุมได้ การให้ตัวหรือโยนตัวน้อยและไม่โคลงตัวเกินไป แต่ก็มีอาการลอย ๆ ร่อน ๆ อยู่บ้างเพราะเป็นรถยกสูงและส่วนท้ายกระบะเปล่าที่เบา และเมื่อลองมานั่งด้านหลังต้องบอกเลยว่ายังไงก็นุ่มนวลวบายกว่ารถใช้แหนบ

แต่ในความนุ่มนวลนั้นยังแอบมีอาการ "ดีดเบาๆ" อยู่บ้าง เนื่องจากความหนืดโช้คที่มาก ทำให้รู้สึกถึงแรงกระแทกได้ระดับหนึ่ง ส่วนการซับแรงสั่นสะเทือนรอยต่อถนน ขอบสะพานหรือหลุมบ่อนั้นยังนับว่านุ่มนวลและรู้สึกสบายอยู่ แต่ตำแหน่งหรือระดับเบาะนั่งตอนหลังต่ำไปหน่อย ทำให้มองด้านหน้าไม่เห็น และเบาะรองนั่งที่สั้นและต่ำทำให้ขาลอย ๆ นอกนั้นถือว่าดีทั้งเรื่องพื้นที่วางขาที่หลวม ๆ หน่อยและเพดานที่โปร่งไม่อึดอัด 
 

ภาพรวมการขับขี่นั้นท่านั่งพอรับได้ไม่เมื่อยล้า ตัวเบาะนั่งสบาย พวงมาลัยน้ำหนักเบาดี ขับง่าย ไม่ต้องเกร็งมือมากนัก คันเร่งเบา ตอบสนองไว ไนโหมดปกติ และยิ่งเร่งทันใจในโหมด Sport ส่วนในการขับขี่โหมดอื่น ๆ นั้น ในครั้งไม่ได้เน้นใช้งานมากนักเพราะ ตลอดการเดินทางไม่ค่อยเจอถนนแบบที่ต้องใช้โหมดเฉพาะ นั่นคือ โหมดปกติก็ไปได้สบาย ๆ
 
นอกจากนี้ในโหมด Comfort ที่เหมือน Narmal Mode ก็จะปรับเปลี่ยนแปรผันการขับเคลื่อนของระบบมอเตอร์ล้อหน้าและหลังให้ตลอด โดยเมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูง ๆ ระบบก็จะเพิ่มกำลังไปที่ล้อด้านหน้า เพื่อความมั่นใจในการขับขี่ หรือกรณีกดคันเร่งมาก ๆ  ระบบก็จะแปรผันกำลังให้ล้อหน้าทำงาน เพิ่มการยึดเกาะถนน และช่วยในการทรงตัวได้ดี ไม่มีการสะบัด ทำให้ควบคุมรถได้ง่าย แม้จะต้องเร่งออกตัวแรง ๆ
 

สรุปความคุ้มค่ากับ RIDDARA RD6 4WD 86 kWh จ่าย 1.299 ล้านบาท

RIDDARA RD6 4WD 86 kWh  ความคุ้มค่าไหม? ขึ้นกับว่าคุณมองมุมไหน? หากเทียบสมรรถนะความแรงระดับรถสปอร์ตหรือซูเปอร์คาร์บางรุ่น คุ้มค่าแน ๆ หรือถ้ามองออปชั่นที่มีในรถทรงกระบะขนของก็น่าจะไม่แพ้ค่ายใหญ่ ๆ หลัก ๆ ในไทย หรือจะมองว่าได้รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นรถกระบะ ก็นับว่ามีอยู่เจ้าเดียวในตอนนี้และยังไม่มีคู่แข่งในไทยโดยตรงกับราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท หรือ Deepal E09 ที่เริ่มต้น 1.599 ล้านบาท และเค้าเน้นว่าเป็น SUV แค่เปิดท้ายเป็นกระบะได้นิดหน่อย ซึ่งอย่างไรก็เป็นรถที่ลูกค้าคนละกลุ่มต่างวัสถุประสงค์ในการใช้งาน  กลายเป็นว่า Riddara อาจได้กลุ่มลูกค้าที่สนใจรถกระบะใช้ในครอบครัว "เจ้าของไร่ สวน" หรือ "ฟาร์ม" คนที่ใช้เป็น "Food truck" สำหรับขับไปจอดที่ไหนก็ได้และสามารถใช้เครื่องไฟฟ้าเพื่อทำกิจการต่าง ๆ โดยไม่ง้อ ไฟจากพื้นที่นั้น
 
กระบะไฟฟ้าคันนี้อาจจะพอตอบสนองความต้องการผู้ชื่อนชอบรถยนต์ไฟฟ้าทรงกระบะ อเกประสงค์ใช้งานได้หลากหลายอาชีพ และยังขับขี่ในชีวิตประวันแบบสบาย ๆ คล้ายรถประเภท SUV ที่ได้ความนุ่มนวล อัตราเร่งดี ลุยได้หลายเส้นทางในคันเดียว!
 
สุดท้ายใครสนใจหรือยังไม่แน่ใจว่าจะเข้ากับวิถีชีวิตคุณหรือไม่ ?  โปรดไปลองขับด้วยตัวคุณเอง ลองใช้ฟังก์ชั่นต่าง ๆ สัมผัสคันจริงให้ก่อนตัดสินใจและเลือกรุ่นย่อยที่ตจรงกับความต้องและกำลังทรัพย์ของท่านเองครับ